หนังสือ

ยินดีต้อนรับ ทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมครับ จาก อภิชาติ จองตะนะ

หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

มาจากเมืองจีน ไป้ตู้

 เมื่อไม่นานมานี้ทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้มีประกาศเตือนถึงประชาชน เรื่องโปรแกรมอันตรายที่ไม่ควรหามาติดตั้ง ซึ่งเป็นผลต่อยอดมาจากโปรแกรม Baidu IME ที่เป็นปัญหาไปเมื่อช่วงต้นปี 2014 โดย Baidu บริษัทโปรแกรมของจีน ได้เข้ามาเปิดสาขาในญี่ปุ่นและได้ปล่อยใช้งานโปรแกรมและแอพฯ สำหรับคอมพิวเตอร์และมือถือ
ซึ่งทางรัฐบาลญี่ปุ่นพบว่าโปแกรมเหล่านี้ มีการ Spy ข้อมูลการใช้งานของยูสเซอร์ และส่งไปยังกลุ่มเมฆเก็บข้อมูล ที่อยู่ในประเทศจีน อันเป็นการละเมิดสิทธิ เพราะข้อมูลที่ Baidu ทำการ Spy ได้นั้น ไม่ได้มีเฉพาะข้อมูลการใช้งาน แต่มันยังรู้ไปข้อมูลส่วนตัวและรหัสผ่านต่างๆของคนนั้นๆ


และตอนนี้นอกเหนือจาก Baidu IME แล้ว ทางรัฐบาลญี่ปุ่นยังแจ้งเตือนประชาชน ถึง 6 โปรแกรมอันตราย ที่ไม่ควรติดตั้ง ทั้งในคอมพิวเตอร์และมือถือ เรามาดูกันว่ามีโปรแกรมอะไรบ้าง ส่วนมากก็มาจาก Baidu ทั้งนั้น

1.  Baidu PC faster ทุกรุ่น เชื่อว่าชาวคอมพิวเตอร์ทั้งหมดคงไม่มีใครไม่รู้จักเจ้าโปรแกรมตัวนี้ในยุคนี้ มันคือโปรแกรมป้องกันไวรัสฟรี และยังช่วยเพิ่มความเร็วในการทำงานของคอมพิวเตอร์คุณด้วย ทว่ามันทำงานมากเกินไปจากที่ควรจะเป็น มันจะแอบติดตั้งโปรแกรมที่เราไม่ต้องการ และยังลบโปรแกรมหรือรีจิสเตอร์ที่จำเป็นออก จนทำให้รีจิสเตอร์และโปรแกรมอื่นๆในเครื่องรวน สุดท้ายก็ต้องลงวินโดว์ใหม่
                                                           
2.  Baidu Spark Browser โปรแกรมเล่นเน็ตของ Baidu ที่ยังคงแสบไม่แพ้โปรแกรมป้องกันไวรัส ถ้ามองดูเฉพาะฟีเจอร์ของมันแล้วก็ดูน่าสนใจดี แต่อันตรายของมันก็ยังเหมือนเดิมครับ คือมันเป็น Spyware ที่ดักของมูลการใช้งานของยูสเซอร์ส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ประเทศจีน
                                                          
3. Baidu pc app store โปรแกรมร้านรวมของสรรพสิ่งใน PC ทุกอย่างที่คุณต้องการ เพียงหาในโปรแกรมนี้ เพียงคุณบอกมันว่าอยากได้โปรแกรมอะไร มันก็จะค้นหามาให้คุณได้ แต่ในความสะดวกนั้นคุณก็ต้องแลกกับการที่มันทำตัวเป็นมัลแวร์ เกาะติดคอยล้วงข้อมูลและแทกแซงเครื่องคุณอยู่ตลอดเวลา
                                                
4. AppsHat คราวนี้ไม่ใช่ของ Baidu แล้ว มันเป็นโปรแกรมฟรีของ Somoto ที่ช่วยคุณหา android apps ที่ต้องการได้ง่ายขึ้น แต่มันเป็นไวรัสชนิด Adware ชนิดหนึ่งที่จะคอยส่งโฆษณาสุดน่ารำคาญมาให้คุณดูเรื่อยๆ แถมลบมันออกไม่ง่ายด้วยนะ
                                                          
5. Hao123 อันนี้แม้ไม่ใช่ชื่อ Baidu แต่มันก็เป็นของเครือ Baidu เหมือนกัน เจ้าตัวนี้จริงๆแล้วมันเป็นชื่อเว็บไซต์หนึ่ง ที่รวมลิงค์เว็บต่างๆเอาไว้ด้วยกันในเว็บเดียว เพื่อให้คุณท่องเว็บได้สะดวก เพียงเข้าหน้านี้ก็มีลิงค์เว็บต่างๆให้เลือกเยอะ แต่ก็เต็มไปด้วยโฆษณาจำนวนมาก และมันแอบแฝงเป็นไวรัสบังคับให้ตั้งหน้าเว็บมันเป็นโฮมเพจ ในโปรแกรมเล่นเน็ตของเราด้วยนะ แน่นอนว่าลบออกยากด้วย
                                                           
6. 555..in.th เว็บรวมสารพัดลิงค์ ที่คล้ายๆกับ Hao123 แต่อันนี้ของไทยเราเอง มันเป็นไวรัสตัวหนึ่งที่จะมาบังคับใช้เราตั้งมันเป็นหน้าแรกโฮมเพจของโปรแกรมเล่นเน็ตที่เราใช้ และสร้างความรำคาญให้เรามาก หากเราไม่ต้องการจะใช้มัน แถมยังลบออกยากด้วยเช่นกัน
สรุปสาเหตุที่ญี่ปุ่นแบนโปรแกรมดังกล่าวนี้ ก็เพราะมันทำงานเหมือนเป็นไวรัสที่ละเมิดสิทธิ์ของผู้ใช้นั่นเอง ซึ่งมีหลายลักษณะ ทั้ง Malware, Adware, Spyware ก็แนะนำว่าไม่ควรหาโปรแกรมเหล่านี้มาใช้กันจะดีกว่าครับ เพราะมันอาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้เราโดนแฮกข้อมูลได้นะ ตามรายงานที่ว่าไทยเป็นประเทศที่โดนแฮกมากเป็นอันดับ 2 ของโลก เพราะมีคนใช้โปรแกรมเหล่านี้อยู่ถึงสามล้านคน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://hitech.sanook.com/1392381/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87-6-%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87/

วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2557

การแบ่ง Patition Disk ของ Windows 7/8

  

ขั้นตอนการแบ่งพาติชั่นใน Windows 7 และ Windows 8

1. คลิกขวาที่ Computer > ให้เลือก Manage
shrink_windows7_1
2. จากนั้นให้มองหา Disk Management
shrink_windows7_2

3. จากนั้นให้เราเลือก Drive ที่เราต้องการแบ่ง
ในตัวอย่างผมต้องการแบ่ง Disk1 นั้นคือ Drive D: นั้นเอง ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 64GB
ในขั้นตอนนี้ให้เราคลิกขวาบนพื้นที่ของ Drive นั้นแล้วเลือก Shrink Volume
shrink_windows7_3
4.
Total size before shrink in MB : คือพื้นที่ความจุจริงของ Drive นั้นที่เราเลือก
Size of available shrink in MB : คือพื้นที่ในส่วนที่เราสามารถแบ่งได้
Enter the anount of space to shrink in MB : จำนวนพื้นที่ความจุที่เราต้องการแบ่ง
Total size after shrink in MB : พื้นที่ที่เหลือหลังจากการแบ่งไดด์
เมื่อเราเลือกได้แล้วว่าจะแบ่งพาติชั่นเท่าไรก็ให้กด Shrink เลยครับ
shrink_windows7_4

5. เมื่อเราทำการ Shrink เรียบร้อยแล้วเราก็จะได้มาเพิ่มอีก Drive แต่เรายังไม่สามารถใช้งานมันได้ ต่อจากนั้นให้ทำตามขั้นตอนต่อไป โดยกด คลิกขวาที่ Drive ใหม่
shrink_windows7_5

6. จากนั้นให้เลือก New simple Volume
shrink_windows7_6

7. จากนั้นให้กด Next
shrink_windows7_7

8. ขั้นตอนนี้ก็กด Next ต่อไป
shrink_windows7_8
9. ขั้นตอนนี้ให้เราเลือกชื่อ Drive ที่เราต้องการ
shrink_windows7_9
10. ให้เราเลือกตา่มรูปเลยครับ
File system : NTFS
Volume lable : ให้เราใส่ชื่อที่เราต้องการเช่น DATA , Music
shrink_windows7_10
11.
shrink_windows7_11
จากนั้นเราก็จะได้ไดด์ ที่พร้อมใช้งานแล้วครับ
shrink_windows7_12
เท่านี้ก็เรียบร้อยกับการแบ่ง Patition Disk ของ Windows 7 และ Windows 8
 เครดิตที่มา http://www.itithai.com/article-tips/windows/423-how-to-shrink-harddisk-in-windows-7.html

วันอังคารที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ปรับแสงหน้าจอโน๊ตบุ๊คและปรับตัวหนังสือให้ใหญ่หรือเล็กลง

 ปรับแสงหน้าจอโน๊ตบุ๊คและปรับตัวหนังสือให้ใหญ่หรือเล็กลง
 ในวินโดว์7
1. ไปที่ Control Panel
2. ไปที่ Power Option
3. เลือกปรับความสว่างด้านล่างจร้า
 ปรับที่โน็ตบุ๊คก็ได้นะ โดยดูปุ่มกดที่มันเป็นตัวหนังสือสีที่ต่างจากปกติ
และมีรูปดวงไฟกับลูกศรคู่กัน  ซึ่งแต่ละยี่ห้อไม่เหมือนกัน    เช่น
1.กดปุ่ม Fn + ลูกศร ขึ้นหรือลง (msi , lenovo , )
2.กดปุ่ม Fn + ลูกศรซ้ายหรือขวา (acer )
3.กดปุ่ม Fn + F4หรือF5  (dell)
4.กดปุ่ม Fn + F6หรือF7 (toshiba)
 วิธีปรับตัวหนังสือให้ใหญ่หรือเล็กลง
กดctrl แช่ไว้เครื่องหมาย+,-ตามรูป

วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ยุคสามก๊กไอที

ขออนุญาติแชร์บทความดีๆมาไว้ที่บล็อกนี้ด้วยครับเครดิต จากเวปนี้ https://www.blognone.com/node/60399                                                                                       บทความนี้เป็นตอนสุดท้ายของ "ไตรภาคไมโครซอฟท์-โนเกีย" โดยสองตอนแรกคือ ย้อนตำนาน Nokia เดินหมากพลาดตาเดียว พ่ายแพ้ทั้งกระดาน ย้อนรอยความผิดพลาดของโนเกียในโลกสมาร์ทโฟน และ One Windows ย้อนตำนานไมโครซอฟท์ กับการหลอมรวมระบบปฏิบัติการเป็นหนึ่งเดียว ความพยายามของไมโครซอฟท์ในการปฏิรูป Windows ให้เข้ากับยุคสมัย
บทความตอนนี้จะอธิบายว่าทำไม Windows ถึงสูญเสียอิทธิพลลงไปอย่างมาก โดยจะมองเชิงเปรียบเทียบกับยุทธศาสตร์ของคู่แข่งใน สามก๊กไอที คือแอปเปิลและกูเกิลด้วย

ย้อนรอย สามก๊กไอที

ก่อนอื่นต้องย้อนกลับไปเล่าแนวคิดของ "สามก๊กไอที" สักเล็กน้อยครับ แนวคิดเรื่องสามก๊กไอทีคือการก่อตัวขึ้นของมหาอำนาจในโลกไอที 3 บริษัทคือ ไมโครซอฟท์ แอปเปิล กูเกิล ในช่วงทศวรรษ 2000s ซึ่งเป็นผลมาจากความเสื่อมถอยของไมโครซอฟท์ที่เคยกินรวบตลาดไอทีฝั่งคอนซูเมอร์ในยุค 90s และเปิดโอกาสให้คู่แข่ง 2 รายคือแอปเปิลกับกูเกิลผงาดขึ้นมาได้
ทั้งสามก๊กมีจุดอ่อนจุดแข็งที่ต่างกัน และมีรากเหง้าของตัวเองจากคนละวงการ โดยแอปเปิลมีต้นกำเนิดมาจากบริษัทฮาร์ดแวร์ ไมโครซอฟท์มาจากซอฟต์แวร์ และกูเกิลมาจากบริการออนไลน์ เดิมทีต่างฝ่ายต่างอยู่ในวงการของตัวเอง ไม่ใช่คู่แข่งกันโดยตรง
ถ้าวิเคราะห์แต่ละบริษัทด้วยกรอบ "ฮาร์ดแวร์-ซอฟต์แวร์-บริการ" เราสามารถแยกแยะยุทธศาสตร์เชิงธุรกิจของทั้งสามได้ดังนี้

แอปเปิล 1.0

รากเหง้าของแอปเปิลมาจากการสร้างฮาร์ดแวร์ และเขียนซอฟต์แวร์เพื่อสร้างจุดเด่นให้กับฮาร์ดแวร์ของตัวเอง ซึ่งประวัติศาสตร์ของแอปเปิลเป็นแบบนี้มาโดยตลอดตั้งแต่ Apple II

อย่างไรก็ตาม แอปเปิลในยุค 2000s หลังการกลับมาของสตีฟ จ็อบส์ ก็ปรับวิธีการทำธุรกิจของตัวเองบ้างบางส่วน ถึงแม้ฮาร์ดแวร์จะยังเป็นธุรกิจหลักของบริษัท (รายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายฮาร์ดแวร์) แต่แอปเปิลก็ยังขยับขยายไปขายซอฟต์แวร์ (เช่น Mac OS X, iWork หรือซอฟต์แวร์กลุ่ม Pro อย่าง Final Cut หรือ Aperture) รวมถึงธุรกิจบริการที่เริ่มมาจากการขายเพลงบน iTunes Store อีกด้วย
ในภาพรวมแล้ว แอปเปิลยุค 2000s มีโมเดลธุรกิจค่อนข้างหลากหลาย เน้นฮาร์ดแวร์เป็นหลัก แต่ก็ทำเงินจากซอฟต์แวร์และบริการบ้าง

ไมโครซอฟท์ 1.0

รากเหง้าของไมโครซอฟท์เกิดจากการขายซอฟต์แวร์ภาษา Basic ก่อนจะตามมาด้วยระบบปฏิบัติการ ที่ผ่านมาเกือบ 40 ปี รายได้หลักของไมโครซอฟท์เกิดจากการขายไลเซนส์ซอฟต์แวร์นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น Windows, Office หรือซอฟต์แวร์องค์กรอื่นๆ อีกมากมายมหาศาล ในโลกของอุปกรณ์พกพา ไมโครซอฟท์ยังหารายได้จากการขายไลเซนส์ Windows Mobile หรือ Windows Embedded ให้คู่ค้ารายอื่นๆ
บริษัทซอฟต์แวร์รายอื่นๆ เช่น Adobe หรือ Autodesk ก็ใช้โมเดลธุรกิจแบบเดียวกันนี้ (ขายซอฟต์แวร์กล่องหรือไลเซนส์เป็นชุดสำหรับองค์กร) ซึ่งถือเป็นโมเดลมาตรฐานสำหรับบริษัทซอฟต์แวร์ยุค 80-90s

ไมโครซอฟท์มีธุรกิจฮาร์ดแวร์อยู่บ้างเล็กน้อย เริ่มจากการขายเมาส์และคีย์บอร์ด ก่อนที่จะค่อยๆ ขยายเข้ามายังธุรกิจเครื่องเล่นเกม Xbox ที่ช่วงแรกก็ไปได้ไม่ค่อยดีนัก และเริ่มมาลืมตาอ้าปากได้ในยุคของ Xbox 360
ส่วนธุรกิจบริการ ไมโครซอฟท์พยายามขยายตัวเองมาสู่ธุรกิจนี้ตั้งแต่สมัยสร้างพอร์ทัล MSN ตามด้วย Windows Live และ Hotmail แต่ในภาพรวมแล้ว ธุรกิจบริการออนไลน์ของไมโครซอฟท์ยังขาดทุนแทบทุกปี
เราจะเห็นว่าธุรกิจฮาร์ดแวร์และบริการออนไลน์ของไมโครซอฟท์ไม่ใช่ธุรกิจหลักของบริษัท และในแง่การเงินแล้วอาจถือเป็นภาระของไมโครซอฟท์ด้วยซ้ำไป ผู้ถือหุ้นไมโครซอฟท์เคยเสนอให้แยกสองธุรกิจนี้มานานแล้ว (แต่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง) หรือแม้กระทั่งคนในอย่าง Stephen Elop ก็เคยพูดไว้ว่าอยากขาย Xbox และปิด Bing

กูเกิล 1.0

กูเกิลเป็นบริษัทน้องเล็กในทั้งสามก๊กนี้ จุดกำเนิดของกูเกิลมาจากการสร้างบริการออนไลน์ ที่เริ่มด้วย search engine และค่อยๆ ขยายมาเป็นบริการออนไลน์ชนิดอื่นๆ มากมาย
เดิมทีนั้นโมเดลธุรกิจของกูเกิลเรียบง่ายมาก เพราะมีแค่บริการออนไลน์อย่างเดียว รายได้มาจากค่าโฆษณาเป็นหลัก มีค่าสมาชิกต่างๆ (เช่น พื้นที่ Gmail หรือค่าเช่า Google Apps) เป็นรายได้รอง

แนวคิดของกูเกิลในอดีตจึงไม่มีอะไรมาก นอกจากทำบริการออนไลน์ของตัวเองให้ดึงดูด เพื่อมีคนมาใช้เยอะๆ หารายได้จากค่าโฆษณามากๆ เท่านั้นเอง (บริษัทออนไลน์เกือบทุกแห่ง เช่น Yahoo, Facebook, Twitter มีแนวคิดแบบเดียวกันนี้)

ยุทธศาสตร์ที่เปลี่ยนไป

อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาพการแข่งขันของวงการไอทีในปัจจุบันที่เกิดการหลอมรวมทางเทคโนโลยี (หรือที่เราเรียกกันว่า convergence) ทำให้ตลาดของทั้งสามก๊กเริ่มซ้อนทับกัน ความเป็นพันธมิตรเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นคู่แข่ง (กรณีที่ชัดที่สุดคือแอปเปิลหักกับกูเกิลจากการทำ Android) ทั้งสามก๊กต่างจึงกวาดต้อนขุนพล กองทัพรายย่อยๆ เพื่อเสริมความเข้มแข็งของตัวเองในตลาดที่ไม่เคยสนใจมาก่อน จนสุดท้ายทั้งสามก๊กต่างมีจิ๊กซอครบทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ บริการ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับก๊กอื่นๆ ต่อไปได้
ตอนนี้ทั้ง 3 บริษัทต่างมีธุรกิจฮาร์ดแวร์-ซอฟต์แวร์-บริการ เหมือนกันทั้งหมด แต่วิธีการมองของแต่ละบริษัทกลับแตกต่างกันไป (ตามพื้นเพหรือรากเหง้าของตัวเอง) และในรอบ 5-6 ปีที่ผ่านมา เราก็เริ่มเห็นการปรับตัวในเชิงโมเดลธุรกิจของทั้งสามบริษัทไปคนละทาง

แอปเปิล 2.0

แอปเปิลเป็นก๊กแรกที่ปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับยุคของอุปกรณ์พกพา และการเปลี่ยนตัวเองของแอปเปิลก็สร้างพลวัตรให้กับวงการ จนบริษัทอื่นๆ ต้องปรับตัวตามเพื่อให้อยู่รอดกับโมเดลใหม่นี้
สิ่งที่แอปเปิลทำ (เริ่มจากในยุค iPod ไล่มาจนถึง iPhone/iPad) คือสร้างฮาร์ดแวร์พันธุ์ใหม่ที่มีความสามารถเทียบเท่าคอมพิวเตอร์ แต่กลับมีความเรียบง่ายและจบในตัวเองเหมือนสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้สินค้าเหล่านี้สามารถจับตลาดผู้บริโภคทั่วไป (mass) ที่กว้างกว่าผู้ใช้คอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมมาก ลูกค้ากลุ่มใหม่นี้ไม่สนใจฟีเจอร์ขั้นสูงมากนัก ไม่ต้องการดูแลหรือบำรุงรักษาอุปกรณ์ (ในความหมายเดียวกับพีซี) แต่ต้องการใช้ความสามารถของซอฟต์แวร์โดยมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของฮาร์ดแวร์แทน (เช่น ใช้ iPod ฟังเพลง หรือใช้ iPhone เล่นเน็ต)

พฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป ทำให้โมเดลธุรกิจของแอปเปิลจึงต้องเปลี่ยนตามไปด้วย เราจะเห็นว่าระบบปฏิบัติการของ iPod ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของตัวฮาร์ดแวร์ (ไม่ต้องติดตั้งระบบปฏิบัติการเอง) และพอมาถึงยุค iOS แอปเปิลก็ไม่คิดเงินค่าระบบปฏิบัติการ อย่างที่เคยทำในสมัย Mac OS เดิม ระบบปฏิบัติการกลายเป็น "ของฟรี" ที่ถูกคิดเงินรวมในค่าฮาร์ดแวร์มาตั้งแต่ต้นแล้ว
ส่วนของ Mac OS X เองก็ได้รับผลกระทบจากยุทธศาสตร์เดียวกันนี้ ทำให้ "ราคา" ของมันลดลงเรื่อยๆ จากเดิมที่ขายชุดละ 129 ดอลลาร์ ก็ค่อยๆ ลดลงมาเหลือ 29.99 ดอลลาร์ ก่อนจะกลายเป็นระบบปฏิบัติการอัพเกรดฟรีนับตั้งแต่ OS X 10.9 เป็นต้นมา
(หมายเหตุ: Mac OS X 10.1 Puma เป็นเหมือนรุ่นแก้บั๊กของ 10.0 ทำให้แอปเปิลแจกฟรี ถือเป็นข้อยกเว้น)

ฝั่งของบริการออนไลน์ แอปเปิลก็พยายามขยายขอบเขตจาก iTunes มาเป็น App Store และ iCloud บ้าง แต่ก็ไม่ได้หาเงินกับมันจริงจังมากนัก รูปแบบจะเป็นแนวว่าถ้าทำเงินได้ก็ดี แต่แนวคิดหลักคือการช่วยเสริมให้ฮาร์ดแวร์ของตัวเองโดดเด่นกว่าเดิม เช่น ใช้ iPod สามารถซื้อเพลงจาก iTunes ได้ (เป็นจุดขาย) แต่แอปเปิลไม่สนใจเปิดบริการออนไลน์ของตัวเองให้บริษัทอื่นใช้งานเลย
ในภาพรวมแล้ว ยุทธศาสตร์ทางธุรกิจของแอปเปิลจึงกลับไปสู่การขายฮาร์ดแวร์เป็นชิ้นๆ (ในราคาพรีเมียม สร้างส่วนต่างกำไรได้มาก) โดยใช้ซอฟต์แวร์และบริการช่วยเสริมให้ฮาร์ดแวร์ของตัวเองโดดเด่นเหนือคู่แข่งยิ่งขึ้น ตอนนี้แอปเปิลแทบไม่สนใจตลาดการขายซอฟต์แวร์โดยตรงแบบเดิมแล้ว และมีธุรกิจบริการ (เน้นการหัก % จากคู่ค้าอื่น) ในฐานะส่วนเสริมของฮาร์ดแวร์นั่นเอง

กูเกิล 2.0

วิธีคิดของกูเกิลยังเหมือนเดิมคือ "ทำยังไงก็ได้ให้คนใช้บริการของกูเกิลเยอะๆ" ซึ่งยุทธศาสตร์ที่กูเกิลเคยใช้ในยุคแรกๆ คือ "ควบคุมประตู" (gate keeper) ในจุดใดๆ ที่คนใช้งานอินเทอร์เน็ต จะต้องมีช่องทางเข้าถึงบริการของกูเกิลเสมอ ตัวอย่างเช่น การให้เงินสนับสนุน Firefox โดยแลกกับการเป็นเครื่องมือค้นหาหลัก
ต่อมา กูเกิลมองว่าการพึ่งพา "ประตู" ของคนอื่นอาจมีความเสี่ยงต่อธุรกิจหลักของตัวเอง (เพราะพาร์ทเนอร์เปลี่ยนใจได้เสมอ) กูเกิลจึงหันมาทำ Chrome เพื่อให้ตัวเองควบคุมพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้าได้มากขึ้น แนวคิดนี้ถูกสืบทอดต่อมาในยุคของ Android แค่เปลี่ยนจากเบราว์เซอร์เป็นอุปกรณ์พกพาเท่านั้น (ตอนแรกสุดกูเกิลกลัวไมโครซอฟท์กินรวบตลาดมือถือ และผู้ใช้ถูกบังคับให้เข้า Bing จึงสร้าง Android ขึ้นมาแข่ง)
มุมมองของกูเกิลต่อซอฟต์แวร์ (ไม่ว่าจะเป็น Chrome, Android หรือ Chrome OS) จึงไม่มีมูลค่าในเชิงธุรกิจ เพราะมันเป็นแค่ช่องทางให้คนเข้ามาใช้บริการของกูเกิลเท่านั้น จึงไม่น่าแปลกใจอะไรนักที่กูเกิลตัดสินใจ "เปิดซอร์ส" ซอฟต์แวร์ระดับแพลตฟอร์มทั้งหมดเพื่อให้คนใช้เยอะมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ (ซึ่งก็ได้ผลอย่างมากในกรณีของ Android) การเปิดซอร์สนั้นไม่มีผลกระทบด้านลบในเชิงธุรกิจต่อกูเกิลเลย เพราะกูเกิลไม่คิดทำเงินจากมันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว (ซึ่งต่างไปจากแอปเปิลหรือไมโครซอฟท์)

ส่วนตลาดฮาร์ดแวร์ เราเห็นกูเกิลลงมาทำโครงการ Nexus โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างมาตรฐานให้กับฮาร์ดแวร์ในวงการเท่านั้น ไม่คิดทำกำไรจากมัน เราจึงเห็น Nexus รุ่นหลังๆ ขายในราคาแทบไม่มีกำไร และกูเกิลก็ขายธุรกิจฮาร์ดแวร์โมโตโรลาออกไปเพราะไม่สนใจธุรกิจนี้เลย (ฮาร์ดแวร์อื่นอย่าง Google Glass ก็ยังเป็นแค่โครงการในเชิงทดลองเท่านั้น ไม่ใช่ธุรกิจหลัก)
โดยสรุปแล้ว กูเกิลยังยึดโยงอยู่กับโมเดลธุรกิจเน้นบริการออนไลน์ โดยมีซอฟต์แวร์-ฮาร์ดแวร์คอยช่วยบีบให้คนใช้บริการของตัวเองเยอะๆ แต่แทบไม่คิดทำกำไรจากสองส่วนนี้เลย
โมเดลธุรกิจของกูเกิลแตกต่างกับแอปเปิลอย่างสุดขั้ว แต่ทั้งสองรายนี้ก็ชัดเจนว่าเลือกอะไร รายหนึ่งไปทางฮาร์ดแวร์ ส่วนอีกรายมาทางบริการ การกำหนดยุทธศาสตร์ภาพรวมจึงง่ายและค่อนข้างตรงไปตรงมา

ไมโครซอฟท์ 2.0

ไมโครซอฟท์กลับเป็นบริษัทที่ตกอยู่ในภาวะลำบากที่สุด เพราะรากเหง้าเดิมของบริษัท (ซอฟต์แวร์) ถูกทำลายลงไปจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดไอทีเอง
ซอฟต์แวร์ในระดับล่าง (ในที่นี้คือระบบปฏิบัติการ) เริ่มไม่มีมูลค่าในเชิงธุรกิจ เพราะผู้บริโภคเริ่มมีตัวเลือกอื่นทดแทนที่ราคาถูกกว่า
ไมโครซอฟท์อาจยังแข็งแกร่งในตลาดระบบปฏิบัติการพีซี (ซึ่งแอปเปิลยอมแพ้ไม่สนใจแข่งด้วยตรงๆ ไปนานแล้ว) และยอดขาย Windows 7/8 ก็ยังไปได้ดี แต่ในตลาดอุปกรณ์พกพาที่การผูกขาดของไมโครซอฟท์ไม่เข้มแข็งเท่ากับตลาดพีซี ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากมาย แถมโมเดลธุรกิจการขายไลเซนส์ Windows Mobile/Phone ก็ถูกทำลายลงไปเนื่องจากกูเกิลเปิด Android เป็นโอเพนซอร์ส ทำให้ไมโครซอฟท์ไม่สามารถทำเงินจากค่าไลเซนส์ระบบปฏิบัติการมือถือได้เหมือนสมัยแข่งกับ Symbian ได้อีกต่อไป (ไมโครซอฟท์เตรียมแจก Windows สำหรับอุปกรณ์หน้าจอเล็กกว่า 9 นิ้ว) เรื่องนี้อาจส่งผลกระทบไปถึงธุรกิจ Windows ด้วย และมีข่าวลือมาโดยตลอดว่า Windows Threshold จะแจกฟรี
เมื่อมูลค่าของตลาดซอฟต์แวร์เริ่มลดลง ทางออกของไมโครซอฟท์จึงเป็นการขยับโมเดลของซอฟต์แวร์ไปเป็น "บริการ" แทน ซึ่งในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา เราเห็นความเคลื่อนไหวนี้ชัดเจนมาก โดยเฉพาะกรณีของ Office 365 กับ Azure ที่ปรับโมเดลมาเป็นการเสียค่าสมาชิกแทนการซื้อขาด ซึ่งตรงนี้ถือว่าไมโครซอฟท์ทำได้ค่อนข้างดี

แต่ไมโครซอฟท์ดูจะไม่พอใจแค่การเป็น "ผู้ให้บริการ" เพียงอย่างเดียว เพราะมันส่งผลให้อิทธิพลในการกำหนดตลาดคอนซูเมอร์ของไมโครซอฟท์ลดลงไป ไมโครซอฟท์จึงเลือกบุกเข้ามาในตลาดฮาร์ดแวร์ด้วย โดยเริ่มจากการทำ Surface เอง และตามด้วยการเข้าซื้อธุรกิจฮาร์ดแวร์มือถือของโนเกียในท้ายที่สุด
ยุทธศาสตร์นี้ชัดเจนในปี 2013 โดยสตีฟ บัลเมอร์ ซีอีโอในขณะนั้นได้สรุปแนวคิดไว้ว่า Devices and Services ทำธุรกิจทั้งฮาร์ดแวร์และบริการ (ข่าวเก่า)

เดิมพันของไมโครซอฟท์

อย่างไรก็ตาม ถ้ามองด้วยกรอบวิเคราะห์แบบเดียวกับแอปเปิลและกูเกิล จะเห็นว่ายุทธศาสตร์ Devices and Services ของไมโครซอฟท์ค่อนข้างสับสน เพราะไม่เลือกทางใดทางหนึ่ง (แบบแอปเปิลและกูเกิลที่ชัดเจนไปเลย) แต่จะไปทั้งสองทาง
สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราจึงเห็นว่าบริการออนไลน์ของไมโครซอฟท์ไม่โดดเด่นเท่ากับกูเกิล และฮาร์ดแวร์ของไมโครซอฟท์ก็ไม่โดดเด่นเท่าแอปเปิล ในขณะที่ธุรกิจหลักอย่าง "ซอฟต์แวร์" กำลังถูกทำลายอย่างช้าๆ
ไมโครซอฟท์สร้างบริการออนไลน์ให้ทุกคนใช้งาน (แบบเดียวกับกูเกิล) บริษัทฮาร์ดแวร์ทุกรายสามารถเข้ามาใช้ซอฟต์แวร์ของไมโครซอฟท์ได้ แต่ไมโครซอฟท์กลับมี Surface และ Lumia เป็นคู่แข่งกับบริษัทเหล่านี้เช่นกัน (ในขณะที่โครงการ Nexus ซึ่งถูกวางตัวไว้ระดับเดียวกัน กลับถูกลดทอนความสำคัญลงเรื่อยๆ จนมีข่าวลือว่าจะเลิกทำด้วยซ้ำ)
ความสับสนของยุทธศาสตร์ Devices and Services ของไมโครซอฟท์ จึงถูกแก้ไขในอีก 1 ปีถัดมา โดยซีอีโอคนใหม่ Satya Nadella จึงบิดมันใหม่ ออกมาเป็น Platform and Productivity แทน (ข่าวเก่า)
ต้องยอมรับกันว่าไมโครซอฟท์เข้ามาช้าในตลาดฮาร์ดแวร์ (ทั้ง Surface และ Lumia) บวกกับความล่าช้าของการปรับ Windows ให้เข้ากับยุคสมัย (ตามที่กล่าวในบทความตอนที่แล้ว) ทำให้ขุมกำลังสายฮาร์ดแวร์ของไมโครซอฟท์ไม่ค่อยเข้มแข็งนักเมื่อเทียบกับธุรกิจบริการ ที่ดูจะไปได้ดีกว่า ถึงแม้ไมโครซอฟท์ยังเข็น Bing ไม่ขึ้น แต่บริการออนไลน์ตัวอื่นๆ ทั้ง Skype, Office 365, Azure ก็ยังไปได้ดีและแข่งขันได้
ผมคิดว่าในเชิงยุทธศาสตร์แล้ว ไมโครซอฟท์จึงน่าจะขยับตัวเองไปเน้นด้าน "บริการ" มากกว่าฮาร์ดแวร์ และมีความเป็นไปได้สูงว่าถ้าไมโครซอฟท์ยังไม่สามารถผลักดันยอดขายฮาร์ดแวร์ให้เยอะอย่างที่ฝันไว้ เราอาจเห็นไมโครซอฟท์ถอนตัวออกจากธุรกิจฮาร์ดแวร์ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า (ถมเงินในธุรกิจที่ขาดทุนได้ แต่ก็ต้องมีวันสิ้นสุด) กลายเป็นบริษัทด้านบริการเชิงธุรกิจเต็มตัว
ตรงนี้ Satya Nadella เองก็น่าจะเข้าใจดีกว่าใคร เพียงแต่สงครามฮาร์ดแวร์ยังไม่ได้ข้อยุติ (อีกทั้งเพิ่งซื้อโนเกียมา) จะประกาศเลิกทำฮาร์ดแวร์ทันทีก็คงลำบาก เขาจึงเลี่ยงไปใช้คำว่า Platform (น่าจะหมายถึงซอฟต์แวร์ระบบ ที่ไมโครซอฟท์ยังเข้มแข็งอยู่) และ Productivity (บริการในฝั่งธุรกิจที่ไมโครซอฟท์ทำได้ดี) แทน
ความหวังของไมโครซอฟท์ในการกอบกู้ธุรกิจฮาร์ดแวร์กลับมา คงอยู่ที่ Windows รุ่นหน้ารหัส Threshold ที่จะหลอมรวมระบบปฏิบัติการสาย Windows ให้เป็นหนึ่งเดียว และอาจพลิกเกมช่วยให้ธุรกิจฮาร์ดแวร์ของไมโครซอฟท์กลับมาเป็นที่น่าสนใจอีกครั้งหนึ่ง
อีกไม่นานเกินรอเราคงได้เห็นกันว่าไมโครซอฟท์จะทำได้ดีแค่ไหนกับ Threshold ครับ เดิมพันครั้งนี้สูงยิ่ง ถ้าไมโครซอฟท์ล้มเหลวอีก เราคงเห็น Windows, Windows Phone, Surface และธุรกิจสมาร์ทโฟนที่ซื้อมาจากโนเกีย ค่อยๆ เฉาลงและสูญพันธุ์ไปตลอดกาลเลยก็เป็นได้

ข้อมูลเพิ่มเติม

สำหรับผู้สนใจเรื่องโครงสร้างธุรกิจของทั้งสามบริษัท ลองดูบทความ Apple, Google, Microsoft: Where does the money come from? โดยคุณ Ed Bott จาก ZDNet ที่เขียนเรื่องนี้ไว้ละเอียด และรวบรวมตัวเลขจากผลประกอบการมาให้ดูด้วย
ผมขอยกมาให้ดูเฉพาะกราฟสัดส่วนรายได้ของไมโครซอฟท์นะครับ

  • Consumer Licensing การขายซอฟต์แวร์ให้คอนซูเมอร์ ธุรกิจนี้กำลังหดลงจากคู่แข่งที่ปล่อยฟรี ดังที่เขียนไปแล้ว
  • Consumer Hardware อย่างที่ทราบกันว่า Surface/Lumia ยังขายไม่ค่อยดีนัก ส่วน Xbox น่าจะยังไปได้เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ใช่ธุรกิจหลัก
  • Consumer Other ธุรกิจออนไลน์ (เช่น Bing, Windows Store) รวมถึงการขายแผ่นเกม Xbox และการขายของผ่านหน้าร้าน Microsoft Store
  • Commercial Licensing การขายไลเซนส์ซอฟต์แวร์ให้ตลาดองค์กร ตรงนี้ยังเป็นธุรกิจหลักของไมโครซอฟท์ และน่าจะยังไปได้เรื่อยๆ
  • Commercial Other การขายบริการออนไลน์สำหรับองค์กร เช่น Azure หรือ Office 365 น่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยบางส่วนมาจากการแปลงรายได้กลุ่ม Commercial Licensing มาเป็นรายได้ส่วนนี้
จากกราฟจะเห็นว่าธุรกิจสาย Commercial ของไมโครซอฟท์ยังเข้มแข็งมาก ในขณะที่ฝั่งคอนซูเมอร์อ่อนแรงลง เพราะตลาดซอฟต์แวร์หดตัว ฮาร์ดแวร์ยังเข็นไม่ค่อยขึ้น และบริการเองก็ไม่โดดเด่นมากนัก

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557

วืธีแก้internet explorerไม่มีเสียงแต่ใน google chrome ใช้ได้ปกติไม่มีปัญหา

 วืธีแก้internet explorerไม่มีเสียงแต่ใน google chrome ใช้ได้ปกติไม่มีปัญหา 
  อันดับแรกเลยลองวิธีนี้ดูคือไปกดตรงลำโพงของ ยูทุปดูปรากฎว่าเสียงดังทันที ลองสังเกตมีกากบาทอยู่อาจจะ ตามรูปครัป
 หากยังไม่ดังอีกก็ทำวิธีที่2
 เปิดieขึ้นมา > Tools > Internet options > แท็บ Advanced > Restore advanced settings > กด Apply > แล้วกด Reset

ปิด IE แล้วเปิดใหม่
 หากยังไม่ดังอีกให้ลง flash playerhttp://software.thaiware.com/3210-Adobe-Flash-Player-Download.html

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

วิธีเซ็ต modem router TP-LINK



วิธีเซ็ต modem router TP-LINK รุ่น TD-W8901GและTD-W8951N

วิธีเซ็ต modem router TP-LINK รุ่น TD-W8901G และ TD-W8951NDแบบง่ายๆมาให้ดูกันนะครับ
1.ต่ออุปกรณ์ ให้เรียบร้อย แล้วต่อสายแลนเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์
2.เปิดหน้า web browser เช่น ie firefox หรือ chome
3.พิมพ์ 192.168.1.1 ที่ช่อง address

 4.หน้าต่างล็อกอินจะเด้งขึ้นมา ให้เราใส่ username : admin  password : admin แล้ว ok

5.เราก็เข้าไปที่หน้าเมนูในการเซ็ตโมเด็มrouter ให้เราเลือก
1  interfacesetup 
2  เลือก internet ทีนี้เราก็มาดูว่าเราใช้เน็ตของผู้ให้บริการอะไร
    tot                                                      ค่า vpi 1 vci 32 ให้เราเลือกที่         pvc 0
    3bb                                                    ค่า vpi 0 vci 33 ให้เราเลือกที่         pvc 1
    cat telecom /cs loxinfo/samart             ค่า vpi 0ค่า vci 35 ให้เราเลือก        pvc 2
true                                             ค่า vpi 0 ค่า vci 100 ให้เราเลือก       pvc 3
3  สมมุติว่าเราใช้เน็ตของ tot ค่า vpi/vci เป็น 1/32 เราก็เลือกที่ pvc 0 
4  พอเลือกแล้ว ให้เราติ๊กที่หน้า PPoA/PPoE


6 เลื่่อนลงมาจะเจอ ช่องให้ใส่ usernameกับ password เราก็ใส่ username กับ password ที่ผู้ให้บริการให้มาแล้วเลื่อนลงมาล่างสุด แล้วกด save

7 เมื่อเรา save เสร็จแล้ว ต่อไปจะเป็นการตั้ง ชื่อสัญญาณไวเลส กับรหัสล็อคสัญญาณ ให้เราเลือก interfacesetup แล้วเลือกหัวข้อ wireless
เลื่อนลงมาจะเจอ หัวข้อ ssid ให้เราตั้งเป็นชื่่ออะไรก็ได้ตามต้องการ
พอ ใส่แล้ว เราก็จะมาเลือก authentication type ใ้ห้เลือกเป็น wpa-psk
ช่อง pre-share key เพิ่มขึ้นมา ให้เรา ใส่รหัสผ่าน ขั้นต่ำ 8 ตัว แล้วก็เลื่อนลงมาล่างสุดแล้วก็ save เป็นอันสิ้นสุดการเซ็ต ครับผม
 เครดิตที่มาhttp://setrouter.blogspot.com/2012/01/modem-router-tp-link-td-w8901gtd.html

Wifi Router 

เลือกซื้อ Wifi Router 

1. Wireless protocols/standards : 
สิ่งแรกที่จะต้องรู้ เกี่ยวกับ wifi router คือ protocols หรือ standards คุณอาจจะเคยเห็นในคู่มือการใช้งาาน หรือรหัสที่ระบุอยู่บนกล่องอุปกรณ์ router ที่เป็นตัวเลข ตามด้วยตัวอักษร ภาษาอังกฤษ a,b,g,n เช่น 802.11b, 802.11b/g และ 802.11n เป็นต้น รหัสเหล่านี้เป็นประเภทของ wifi router ระบุถึง คลื่นความถี่ที่ทำงาน และความเร็วสูงสุดในการ รับส่งข้อมูลครับ Wireless a,b และ g ทำงานบนย่านความถี่ 2.4 GHz และ Wireless-n บน 5 GHz โดยความเร็วสูงสุด ในการรับ-ส่งข้อมูล แต่ละประเภท มีดังนี้
- 802.11b รับส่งข้อมูลความเร็วสูงสุด 11 Mbps
- 802.11g รับส่งข้อมูลความเร็วสูงสุด 54 Mbps
- 802.11n เป็น protocol ที่สามารถ รับส่งข้อมูลได้เร็วสุดในปัจจุบัน 300 Mbps เพราะทำงานบนคลื่นความถี่ 5 GHz ไม่ถูกรบกวนจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ชนิดอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่ทำงานบนคลื่นความถี่ 2.4 GHz 
เลือกซื้อ wireless router
ควรจะเลือกซื้อ Wireless-n ใช่หรือไม่ : ตอบ ใช่ และ ไม่ใช่
ต้องยอมรับว่า Wireless-n ส่ง กระจายสัญญาณ wireless ได้แรง และเร็วมากจริงๆ เพราะถูกรบกวนน้อยกว่า แต่ว่า ถ้าหากคุณมีเพียงแต่ router ที่ใช้ wireless-n แต่อุปกรณ์รับสัญญาณ เช่น wireless card บน notebook ของคุณสนับสนุนการทำงานบน 802.11b/g เท่านั้น คุณจะสามารถเข้าใช้ internet หรือ ส่งข้อมูลได้ กับ router แต่จะได้ความเร็วสูงสุด เท่ากับ wireless-g เท่านั้น และจะไม่สามารถใช้งานได้ หาก Wireless router จำกัดการใช้งานบนคลื่นความถี่ 5.0 GHz เท่านั้น (ป้องกันไม่ให้อุปกรณ์ทั่วไปเชื่อมต่อ) ดังนั้น “ถ้าหากเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง ที่บ้านหรือที่ทำงาน เป็นแบบ b/g เท่านั้น ก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนซื้อ wireless-n router มาประดับบารมีไว้ก่อน เพราะจะแพงกว่า พวก b/g พอสมควรครับ” 
ปัจจุบันมี wireless router แบบ Dual-Band b/g/n ออกมาจำหน่ายมากมายหลายรุ่น หลายยี่ห้อ แต่ราคาก็ย่อมแพงขึ้นไปอีกครับ

2. Wifi router หรือ Modem Wifi router
จะเปลี่ยน router ที่บ้านของคุณเลย หรือ ยังไม่เก่าสามารถใช้งานได้ดีอยู่ ??? ควรจะเป็นอีกคำถามที่ต้องถามตัวเอง เพราะถ้าหาก router ที่ใช้อยู่เป็น Modem router และคุณต้องการเปลี่ยนใหม่ไปเลย router ที่คุณจะซื้อมาใหม่ ก็ต้องเป็น Modem wifi router เช่นกัน ถ้าหาก router ยังใช้งานได้ดี ก็อาจใช้วิธี เชื่อมต่อ internet ผ่านสาย lan มายัง Wireless router ตัวใหม่ เอาก็ได้ครับ
ข้อแนะนำ หากคุณใช้ router มานานแล้ว ควรจะซื้อ Modem Wireless router เลย ครับ เพราะเป็นการลงทุนเพียงครั้งเดียว แล้วจบ เพราะถ้าหาก router เกิดใช้งานไม่ได้ขึ้นมา คุณก็จำเป็นต้องหาซื้อ modem router ตัวใหม่อีก 
เสา wirelesss
3. แบบมี เสา หรือ ไม่มี เสา wireless
Wireless router ที่ไม่มีเสา ถึงแม้กำลังส่งมากแค่ใหน ก็สู้ router ที่มี เสา ติดมาด้วย ไม่ได้ครับ เพราะอะไร ???? เพราะ เมื่อมีเสา คุณก็สามารถเปลี่ยนเสาใหม่ได้ ทั้งแบบ indoor หรือ outdoor หากยังไม่พอ ก็เพิ่ม booster เข้าไปอีก ทำให้สามารถกระจายสัญญาณ wireless ได้หลายกิโลเมตร แต่ถ้าหากคิดว่า มีเพียง 2-3 เครื่อง ที่ใช้ สัญญาณ wireless ภายในบ้าน ซื้อแบบมีเสามา อาจจะไม่ปลอดภัย คนข้างบ้านอาจจะมาแฮ๊กสัญญาณไปใช้ได้ ก็เลือก wireless router แบบไม่มีเสาไปครับ เพราะราคาก็ถูกกว่ากันอยู่พอสมควร
ข้อแนะนำ ผมเลือกที่จะหา router ที่มี เสา wireless มาด้วยเสมอ เพราะเราไม่สามารถทราบอนาคตได้ว่า จะจัดห้องทำงานใหม่ ย้ายบ้านใหม่ หรือต่อเติมเสริมห้องภายในบ้านอีก หรือ สักวันหนึ่งอยากจะไปนั่งทำงานในห้องนอน แทนที่จะอยู่ในห้องทำงาน แต่แล้ว router ที่ซื้อมาไม่มีเสา สัญญาณก็ไปไม่ถึง สุดท้ายก็ต้องหาซื้อ router ใหม่ มาเชื่อมต่ออีก แทนที่แค่เปลี่ยนเสาก็ใช้ได้ แล้ว
ดูวิธี เลือกซื้อ เสา wireless
4. USB port สำคัญอย่างไร ?
หากวางแผนที่จะแชร์ ปริ้นเตอร์ ภายในสำนักงาน โดยไม่ต้องลากสาย lan เชื่อมต่อทุกครั้ง หรือ ไม่ต้องทำ ปริ้นเตอร์ server อาจจะหาซื้อ wireless router ที่มี port usb ด้วย เพื่อแชร์ ปริ้นเตอร์ ของคุณ ผ่านสัญญาณ wireless ครับ หากเป็นการใช้งานในบ้าน คงจะไม่สำคัญมากนักครับ
5. รองรับการเข้ารหัสแบบ WPA/WPA2
อันนี้สำคัญมากครับ เพื่อความปลอดภัยของ เครือข่าย wireless คุณจำเป็นต้องเลือกซื้อ อุปกรณ์ ที่สามารถเข้ารหัสข้อมูลที่ รับ-ส่ง กัน ผ่านสัญญาณ wireless แบบ WPA/WPA2 เพราะเป็นวิธีที่การเข้ารหัสข้อมูลที่ปลอดภัยมากที่สุดในปัจจุบันครับ
เครดิตที่มา http://www.it-computertips.com/%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD-wifi-router-%E0%B8%97%E0%B8%B3-access-point/

วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2557

การสมัครไลน์บนโน้ตบุ๊กหรือคอมด้วยโปรแกรมStart BlueStacks

 การสมัครไลน์บนโน้ตบุ๊กหรือคอมด้วยโปรแกรมStart BlueStacks
ไปโหลดโปรแกรม blue stacksได้ตามลิ้งนี้http://www.bluestacks.com/ ใหกดตรงdownload app player
   ส่วนวิธีลงและสมัครทำตามวิดีโอนี้เลยครับขอขอบคุณเจ้าของวิดีโอที่อัฟลงยูทูปไว้ครับตอนสมัครไลน์ี่ให้เลือกthailandมันไม่ได้อยู่โหมดตัวT ให้เลื่อนขึ้นบนต่อจากตัวAนะครับ ให้เลื่อน Mouse ให้พ้นอักษร A มาประมาณ 3 ชื่อก็เจอ Thailand ครับ เดียวนี้ Thailand ไม่อยู่ที่ตัวอักษร T แล้วครับ
             
ส่วนโปรแกรมline ภาษาไทยดาวโหลดได้ตามลิ้งค์นี้http://www.linepc.in.th/
 2.วิธีที่สองสมัครไลน์ผ่านโปรแกรมไฟรฟร๊อกตามนี้เลย

วิธีสมัครไลน์ (Line) เล่นไลน์ผ่าน Firefox ง่ายๆในคอมพิวเตอร์

แอพไลน์ (Line) กำลังเป็นที่นิยมกันเป็นอย่างมากในตอนนี้ไม่ว่าใครๆก็จะต้องมีไลน์กันทั้งนั้น ด้วยการพัฒนาให้สามารถเล่นได้ทั้งในมือถือ ไอแพด คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค หรือ คอมพิวเตอร์ Pc จึงทำให้ผู้ใช้งานสามารถสมัครไลน์หรือเล่นได้กันอย่างแพร่หลาย วันนี้เราจะมาสอนวิธีการสมัครไลน์(Line)ละลงโปรแกรมไลน์ ผ่านบราวเซอร์อินเตอร์ที่เราคุ้นเคย ซึ่งก็คือ Firefox เพราะที่ผ่านมาใครที่เคยสมัครไลน์ในคอม PC ก็จะมีวิธีสมัครผ่านโปรแกรม Bluestacks ที่รองรับการใช้งานคอมพิวเตอร์ที่มีสเปคสูงๆ ทำให้หลายคนสมัครไม่ได้ สำหรับวิธีสมัครไลน์ผ่าน Firefox รับรองได้ว่าใช้ได้กันทุกคนแน่นอน
วิธีสมัครไลน์ (Line) เล่นไลน์ผ่าน Friefox10

สิ่งที่ทุกคนต้องเตรียมก่อนที่จะสมัครไลน์ (Line)

  • โทรศัพท์มือถือ เอาไว้สำหรับรับข้อความยืนยันการสมัครไลน์
  • โปรแกรม Firefox (ต้องเป็นเวอร์ชั่น 26 ขึ้นไป) ใครที่ยังไม่มีโหลดแล้วติดตั้งลงคอมพิวเตอร์ได้ที่นี่เลย http://www.mozilla.org/th/firefox/new/
 ถ้าเตรียมพร้อมแล้วมาเริ่มสมัครและติดตั้งโปรแกรมไลน์ (Line) กันเลย

ขั้นตอนในการติดตั้งโปรแกรมไลน์ (Line) ใน Firefox OS Simulator

1.ให้เราเข้าไปที่ Firefox แล้วเลือกแถบ “เครื่องมือ” เลื่อนลงมาเลือก “ส่วนเสริม” (สามารถกดคีย์บอร์ดได้เลยโดยให้กด Ctrl + Shift + A)
วิธีสมัครไลน์ (Line) เล่นไลน์ผ่าน Friefox
2. เมื่อกดเข้าไปแล้วมันจะขึ้นหน้า “ตัวจัดการส่วนเสริม”
2.1 .ให้เราไปตรงช่องค้นหา ค้นหาคำว่า Firefox OS
2.2 .ให้เลือกติดตั้งส่วนเสริมชื่อว่า Firefox OS Simulator
วิธีสมัครไลน์ (Line) เล่นไลน์ผ่าน Friefox1
 3. เมื่อติดตั้งเสร็จจะเข้าไปสู้หน้า Simulator Dashboard – Firefox OS ให้เราคลิ๊กตรงคำว่า Stopped ตรงขวามือแล้วจะขึ้นคำว่า Running เมื่อกดแล้วจะเด้งหน้าจอ Firefox OS Simulator ขึ้นมา
วิธีสมัครไลน์ (Line) เล่นไลน์ผ่าน Friefox2
4. ให้เราคลิ๊กค้างไว้บนหน้าจอ Firefox OS Simulator แล้วเลื่อนไปทางซ้าย 1 ครั้ง(เหมือนกับเราใช้เมาส์แทนนิ้วเลื่อนหน้าจอสัมผัสไปทางซ้ายนะครับ)
แล้วให้เราคลิ้กไปที่ไอคอน Marketplace
วิธีสมัครไลน์ (Line) เล่นไลน์ผ่าน Friefox3
5. พิมพ์คำว่า “Line” ตรงช่วงค้นหาด้านบน
5.1 คลิ๊กคำว่า “Free”
5.2 คลิ๊ก Install
วิธีสมัครไลน์ (Line) เล่นไลน์ผ่าน Friefox4

ขั้นตอนต่อไปจะเป็นวิธีการสมัครไอดีไลน์(Line) ของเราเพื่อใช้งาน

กลับมาที่หน้าจอหลักโยคลิ๊กที่ไอคอนรูปบ้านด้านล่าง จะเจอไอคอนแอพไลน์(Line) แสดงบนหน้าจอ
1. ให้เราคลิ๊กบนไอคอนแอพไลน์ (Line)
1.1 แล้วจะถามเราว่า จะให้เข้าถึงรายชื่อที่มีอยู่ในเบอร์มือถือของเรารึเปล่า ให้กด Allow หรือไม่กดก็ได้ครับ
1.2 เลือก New Users เพราะเรายังไม่มีไอดีไลน์(Line) หากหากใครมีไอดีอยู่แล้ว ก็ Login ได้เลย
วิธีสมัครไลน์ (Line) เล่นไลน์ผ่าน Friefox5
2.จต่อไปจะเป็นการกรอข้อมูลเพื่อยืนยันตนมางโทรศัพท์มือถือขอเรา
2.1 เปลี่ยนประเทศให้เป็น (+66) Thailand
2.2 กรอกเบอร์มือถือของเราลงไป
2.3 ข้อตกลงต่างๆ ให้เราได้อ่านก่อนสมัคร แล้วเลือก Agree with Terms and verify
2.4 จากนั้นก็ยืนยันว่าเบอร์ของเราใช่เบอร์นี้รึป่าว กด OK
วิธีสมัครไลน์ (Line) เล่นไลน์ผ่าน Friefox6
3. หลังจากนั้นก็กดยืนต่าๆง
3.1 กรอกรหัสยืนยันที่ส่งมาทางมือถือลงไป
3.2 สำหรับหน้านี้ใครที่ใช้เบอร์ใหม่จะไม่ขึ้น แต่สำหรับคนที่ใช้เบอร์เดิมถ้ากด Nuw number ข้อมูลต่างๆในเครื่องเก่าจะถูกลบ
3.3 เปลี่ยนรูปถ่าย แล้วใส่ชื่อลงไป แล้วกด Register
วิธีสมัครไลน์ (Line) เล่นไลน์ผ่าน Friefox7
4. สุดท้ายกรอก E – mail ให้เรียบร้อยแล้วยืนยันรหัสผ่าน Maill ของเรา
วิธีสมัครไลน์ (Line) เล่นไลน์ผ่าน Friefox8
เท่านี้ก็เรียบร้อยสำหรับการสมัครไอดีไลน์ (Line) ผ่านทาง Firefox OS Simulator จากนั้นเราก็เข้าไปตั้งค่าข้อมูลของเราได้เลย สำหรับใครที่ยังไม่มีสมาร์ทโฟนก็สามารถเล่นไลน์(Line) บนคอมพิวเตอร์ที่บ้านได้
วิธีสมัครไลน์ (Line) เล่นไลน์ผ่าน Friefox9
สุดท้ายหากเราจะกลับเข้าไปเล่นไลน์(Line)ใน Firefox OS Simulator ก็ให้เข้าไปที่ “เครื่องมือ”  เลือก “นักพัฒนาเว็บ” แล้วก็ Firefox OS Simulator